สมรรถนะ (Performance) รถไฟฟ้า MG EP

รถไฟฟ้า ยี่ห้อ MG รุ่น MG EP และ MG EP PLUS เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบบมอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (PMSM : Permanent Magnet Synchronous Motor) มีกำลังสูงสุด 163 แรงม้า (หรือ 120 กิโลวัตต์) , มีแรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร , สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 380 กิโลเมตร (ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง)

รถไฟฟ้า MG EP ออกมาจำหน่ายช่วงปี 2021 และ MG EP PLUS ออกมาจำหน่ายช่วงปี 2022 ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้แทบจะเหมือนกันเลย หากดูตาม Specification แล้วจะเห็นว่า ต่างกัน 3 จุด คือ MG EP PLUS มีความสูงตัวรถรวมเพิ่มมา จากเดิม MG EP สูงรวม 152.1 ซม. แต่ MG EP PLUS สูงรวม 154.3 ซม. เพราะตัวรุ่น MG EP PLUS มี Rack หลังคาเพิ่มเข้ามา (รองรับน้ำหนักสิ่งของได้ 75 กิโลกรัม) อย่างที่สองคือ แผ่นปิดใต้ท้องรถส่วนด้านหน้า และอีกอย่างที่มีเพิ่มเข้าใน MG EP PLUS คือ ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ที่สามารถดักจับและป้องกัน ฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็กของห้องโดยสาร โดยส่วนต่างราคาของทั้ง 2 รุ่นนี้อยู่ที่ 10,000 บาทเท่านั้น ดูๆเหมือนเป็นการซื้อ Option เสริมเข้ามาในราคาประหยัดกว่าไปติดตั้งเองนั่นเอง

รุ่น
MG EP และ MG EP PLUS
ประเภทมอเตอร์ไฟฟ้า
Permanent Magnet Synchronous Motor
ประเภทแบตเตอรี่
Lithium-Ion Battery
กำลังสูงสุด (แรงม้า (กิโลวัตต์))
163 แรงม้า (120 กิโลวัตต์)
แรงบิดสูงสุด (นิวตัน – เมตร)
260 นิวตัน – เมตร
ความจุแบตเตอรี่ (กิโลวัตต์ – ชั่วโมง)
50.3 กิโลวัตต์ – ชั่วโมง
ระยะทางวิ่งสูงสุด (NEDC Mode) (กม.)
380 กิโลเมตร
โหมดการขับขี่ 3 โหมด
Sport / Normal / Eco
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
8.8 วินาที
ความเร็วสูงสุด (กิโลเมตร/ชั่วโมง)
185 กิโลเมตร/ชั่วโมง

การชาร์จไฟฟ้า (Home and Fast Charging)

การชาร์จรถไฟฟ้า ทำได้โดยเสียบปลั๊กไฟบ้านทั่วไป หรือแท่นชาร์จสาธารณะ จะทำการเสียบปลั๊กผ่านสถานีชาร์จ ซึ่งความเร็วในการชาร์จ ขึ้นอยู่กับสถานีชาร์จ และความจุแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า

MG ZS EP และ MG EP PLUS รองรับการชาร์จ ด้วยหัวแบบ Type 2 และ CCS Combo 2 มีระบบการชาร์จ On Board Charger 7 KW โดยแบตเตอรี่ ที่ใช้เป็นแบบ Lithium-Ion ขนาด 50.3 kWh (เท่ากันทั้ง 2 รุ่น) ช่วยให้รถสามารถวิ่งได้ไกลต่อ 1 การชาร์จเพิ่มขึ้น ถ้าไฟเต็ม 100% ขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 380 กม. ถึงจะยังทำระยะไม่ได้ไกลมาก แต่ก็เพียงพอในการขับในเมือง หรือวางแผนการเดินทางไปต่างจังหวัดในระยะที่สามารถไปยังจุดชาร์จต่อไปได้ไม่ยาก

Battery and Charging
Battery Capacity44.5 kWhBattery Useable42.5 kWh
Europe data
Charge PortType 2Fastcharge PortCCS
Port LocationFront - Middle
FC Port LocationFront - Middle
Charge Power6.6 kW ACFastcharge Power (max)76 kW DC
Charge Time (0->220 km)7h45mFastcharge Time (22->176 km)35 min
Charge Speed29 km/hFastcharge Speed260 km/h
Rated = official figures as published by manufacturer. Rated consumption and fuel equivalency figures include charging losses.
Vehicle = calculated battery energy consumption used by the vehicle for propulsion and on-board systems.

MG EP สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ 2 แบบ คือ Normal Charge แบบ AC (ผ่านหัวชาร์จประเภท Type 2) และQuick Charge แบบ DC (ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2) Normal Charge คือ การชาร์จไฟจากชุด MG HOME CHARGER ที่บ้าน กระแสสลับ AC (รองรับสูงสุด 7 kW) ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที และ Quick Charge คือ การชาร์จไฟ กระแสตรง DC (รองรับสูงสุด 76 kW) จาก 30-80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ทั้งนี้ระยะเวลาการชาร์จ ขึ้นอยู่กับประเภทของไฟฟ้า และอัตราค่าไฟฟ้าของแต่ละจุดชาร์จ) นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ด้วย KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับด้วยกัน

*ปัจจุบันคุณสามารถขอใช้บริการการประจุไฟใหม่แบบ Quick Charge จากสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ MG Super Charge คุณจะใช้เวลาในการชาร์จไฟรถเพียง 30 นาทีเท่านั้น โดย สถานีชาร์จของ MG Super Charge ติดตั้งแล้วกว่า 120 แห่งทั่วประเทศ

ภายนอกและภายใน มีอะไรใหม่ใน MG EP

MG EP ออกแบบให้ดูหรูหรา ใส่ใจในการออกแบบตัวถัง เป็นรถ Station Wagon ที่ปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมสำหรับการใช้งาน ความโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบ Projector มาพร้อมไฟ LED Daytime Running Lights ล้ออัลลอยด์ ขนาด 16 นิ้ว ไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design รวมถึงภายในห้องโดยสารมีความโดดเด่นสะดุดตา และมาพร้อมกับประโยชน์ใช้สอยอย่างครบถ้วน

ตัวเบาะนั่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์ สีดำ สวยงาม , พวงมาลัยปรับระดับได้ขึ้น-ลง , จอควบคุมการขับขี่ Digital Multi-Function Display ขนาด 7 นิ้ว และจอกลางสำหรับระบบเชื่อมต่อ i-smart และความบันเทิง ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay / Andriod Auto ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ที่หน้าคอนโซล ถือว่าครบครัน

ระบบ SAFETY ความปลอดภัยในรถไฟฟ้า MG EP

มั่นใจทุกเส้นทาง ดีไซน์เพื่อความปลอดภัย กับ MG EP และ MG EP PLUS ครบรอบคันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยตามมาตรฐาน ให้ความมั่นใจตลอดเส้นทาง สร้างความอุ่นใจให้ทุกชีวิต

ระบบ EPB เบรกมือไฟฟ้า และ AVH ป้องกันการใหล

EPB ย่อมาจาก Electronic Parking Brake คือ ระบบเบรกมือไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์พื้นฐานของรถยนต์ยุคสมัยใหม่ในปัจจุบัน ช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ ใช้งานง่ายกว่าเบรคมือแบบเดิมมาก เพียงแค่กด หรือดึงปุ่มสวิทช์เท่านั้น ระบบเบรกมือไฟฟ้าก็ทำงานทันที โดยปุ่มสวิทช์ของเบรกมือไฟฟ้า จะมีสัญลักษณ์ตัว (P) ที่ตัวปุ่ม เมื่อมีการเปิดใช้งาน จะมีสัญลักษณ์แสดงเตือนที่แผงหน้าปัดเป็นตัว (P) เช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสนของผู้ใช้งานระหว่าง การใช้งานเบรกมือ หรือระบบเบรกมีปัญหา

*ระบบเบรคมือแบบเดิมสมัยก่อนนั้น เมื่อมีการใช้งานเบรคมือ (ไม่ว่าจะเป็นรุ่นกดปุ่ม หรือ) ที่แผงหน้าปัดจะแสดงสัญลักษณ์เตือนเป็นเครื่องหมายตกใจ (!) แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ตัว (P) เพื่อป้องกันความสับสนของผู้ใช้งาน ระหว่าง การใช้งานเบรกมือ หรือระบบเบรกมีปัญหานั่นเอง

รถที่ติดตั้งระบบ EPB (Electronic Parking Brake) ส่วนใหญ่จะมีปุ่ม Auto Hold อยู่ถัดจากปุ่มเบรกมือ จะมีสัญลักษณ์ตัว (A) หรือเรียกชื่อเต็มๆของระบบนี้ว่า ระบบ AVH (Auto Vehicle Hold) คือ ระบบป้องกันการใหล โดยไม่ต้องเหยียบเบรคค้าง ฟังก์ชั่นการทำงานคล้ายกับการดึงเบรคมือ เพื่อไม่ให้รถไหล หรือเคลื่อนที่โดยเราไม่ได้ตั้งใจ

ซึ่งระบบ AVH (Auto Vehicle Hold) นี้สะดวกมาก เหมาะกับสายที่ขับในเมือง รถติดไฟแดงนานๆ เพียงแค่ให้รถหยุดนิ่งแล้วกดปุ่ม AVH ให้มีไฟแสดงที่ปุ่มค้างไว้ เมื่อเราขับรถไปแล้วรถติด และจอดจนหยุดนิ่งแล้ว พอถอดเท้าออกจากเบรค เพียงเท่านี้ ตัวรถก็จะจอดหยุดนิ่งอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องเหยียบแป้นเบรกค้างไว้หลังจากหยุดรถ หรือไม่ต้องเปลี่ยนไปตำแหน่งเกียร์ N แต่อย่างใด เมื่อจะออกตัวก็เพียงแค่เดินคันเร่งเบาๆ รถก็จะกลับเข้ามาสู่โหมดขับขี่ปกติ

วิธีการใช้งานระบบ EPB และ AVH

ระบบ ABS , EBD และ EBA รวมระบบเบรกมาตรฐาน ทำงานร่วมกันช่วยป้องกันได้ดีมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบเบรก จากดั้งเดิมคือ ระบบดิสก์เบรก ระบบดรัมเบรก กับระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Brake System) และยังมีระบบเบรกสมัยใหม่ที่มาเสริมทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ทำงานร่วมกัน ช่วยป้องกันได้มากยิ่งขึ้น คือ ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution) และระบบเสริมแรงเบรก EBA (Electronic Brake Assist) ทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นในทุกเส้นทางการขับขี่

ABS ย่อมาจาก Anti-Lock Brake System คือ ช่วยในการควบคุมจังหวะการกดแป้นเบรกไม่ให้ตายตัวเกินไป เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานในรถทุกรุ่นในปัจจุบัน โดยระบบ ABS จะทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรกแบบจมมิด ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกตาย ส่งผลให้ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมทิศทางของตัวรถได้ แต่หากไม่มีระบบ ABS รถจะไถลไปข้างหน้าตามแรงเฉื่อย ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางตัวรถได้

แม้รถจะมีระบบ ABS (Anti-lock Braking System) ช่วยในการล้อล็อค ขณะเบรคฉุกเฉิน ก็ว่าดีอยู่แล้ว แต่การมีระบบ EBD (Electronic Brake force Distribution) ที่ช่วยกระจายแรงเบรก ทำให้หลบสิ่งกีดขวางได้อย่างปลอดภัย มาช่วยเสริมด้วยย่อมดีกว่า เพราะจะทำให้เราสามารถควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ง่ายขึ้น และพร้อมเสริมแรงเบรกด้วยระบบ EBA (Electronic Brake Assist) ยังช่วยให้ระยะเบรกสั้นลงอีกด้วย

EBD ย่อมาจาก Electronic Brakeforce Distribution คือ ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก ทำให้หลบสิ่งกีดขวางได้อย่างปลอดภัย ระบบ EBD (Electronic Brakeforce Distribution) เป็นระบบปรับสมดุลแรงเบรกของล้อทั้ง 4 เพื่อช่วยกระจายน้ำหนักแรงกดของเบรกแต่ละล้อจนมีสัดส่วนการเบรกที่สมดุล ช่วยลดอาการท้ายปัด และยังช่วยลดอาการหน้าทิ่มเนื่องจากเบรกกระทันหัน หรือเบรกด้วยความเร็วสูง หรือรถที่บรรทุกน้ำหนักมากเกินไป

การทำงานของระบบ EBD (Electronic Brakeforce Distribution) จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขับเหยียบเบรก โดยระบบ EBD จะคำนวณความเร็วของล้อทั้ง 4 ล้อขณะเหยียบเบรก ส่งปริมาณแรงดันน้ำมันที่ส่งไปยังชุดเบรกสูงสุดที่ระบบจะสามารถส่งให้เบรกทำงานได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการเบรกล็อกที่ล้อหลัง จนเกิดอาการท้ายปัดได้ อีกทั้งกรณีเข้าโค้ง เมื่อขับขี่เข้าช่วงโค้ง น้ำหนักของรถที่จ่ายไปยังฝั่งตรงข้ามจะลดลง ถ้าผู้ขับขี่ต้องเหยียบเบรกเพื่อลดความเร็ว ระบบ EBD (Electronic Brakeforce Distribution) ก็จะเริ่มแปรผันแรงดันน้ำมันเบรกที่ถูกส่งไปยังล้อด้านใน ณ ขณะนั้นได้อย่างเหมาะสม

EBA ย่อมาจาก Electronic Brake Assist คือ ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยให้ระยะเบรคสั้นลง ให้คุณมั่นใจในทุกเส้นทางที่ขับขี่ ระบบ EBA (Electronic Brake Assist) เป็นการใช้ชุดควบคุม และเซ็นเซอร์ไปควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกให้สูง ในกรณีที่เหยียบเบรกกระทันหัน ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการเบรกแบบฉุกเฉิน ให้ดียิ่งขึ้น โดยระบบ BA (Electronic Brake Assist) นั้นจะสามารถตรวจจับได้ว่า ผู้ขับขี่กำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ต้องการแรงเบรกสูงสุด แต่ผู้ขับขี่ส่วนมากแล้วมักเหยียบเบรกไม่รวดเร็วและหนักแน่นเพียงพอ ระบบที่ว่านี้จะช่วยเพิ่มกำลังเบรกให้สูงสุดโดยทันทีจนกว่ารถจะหยุดสนิท โดยระบบนี้จะทำงานควบคู่กับ ABS ด้วย

ระบบเบรกมาตรฐาน ABS , EBD และ EBA ทั้ง 3 ระบบนี้ จะถูกควบคุมการทำงานผ่านกล่อง ECU ระหว่างผู้ขับขี่ร่วมกับระบบเทคโนโลยีของเซ็นเซอร์ที่ตำแหน่งต่างๆ ช่วยในการประมวลผลจากปัจจัยต่างๆ ทั้งสภาพการเกาะถนน , การเข้าโค้ง , น้ำหนักการเหยียบเบรก เพื่อรับข้อมูลมาคำนวณและส่งคำสั่งไปควบคุมการเบรกให้ได้ตามความเหมาะสม โดยกล่อง ECU จะช่วยทำให้ตัวรถสามารถประสานงาน และสนับสนุนระบบเบรกทั้ง 3 อย่าง ให้ทำงานสัมพันธ์กัน ช่วยเบรกหรือหยุดรถได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีช่วยสร้างระบบเพื่อรองรับการขับขี่ที่ให้ความปลอดภัยมากขึ้น ตัวเราซึ่งผู้ขับขี่ ไม่ควรประมาท ไม่ใช้ความเร็วเกินกำหนด และช่วยกันเคารพกฏจราจรให้มากที่สุด จะช่วยให้คุณและผู้อื่นรักษาชีวิต ทรัพย์สิน รวมถึงค่าเสียหายต่างๆ ได้ดีมากที่สุด

ระบบ CBC , SCS และ TCS รวมระบบคุมการเข้าโค้ง เพิ่มความมั่นใจในทุกเส้นทาง

ระบบความปลอดภัย เป็นหนึ่งส่วนสำคัญ โดยฟังก์ชัน Synchronize Protection System นอกเหนือจากระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-Lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution), ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) แล้วนั้น ยังมีระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) อีกด้วย

CBC ย่อมาจาก Curve Brake Control คือ ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง

SCS ย่อมาจาก Stability Control System คือ ระบบควบคุมการทรงตัว

TCS ย่อมาจาก Traction Control System คือ ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล

ระบบความปลอดภัยทั้ง 3 ระบบนี้ ทำให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ด้วยระบบควบคุมเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC ที่ทำงานควบคู่กับระบบควบคุมการทรงตัว SCS เมื่อต้องหลบสิ่งกีดขวางกะทันหัน และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS เพื่อไม่ให้รถลื่นไถล ออกนอกเส้นทางขณะเร่งออกจากโค้งแม้ถนนเปียกลื่น

ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS

ยางรถ เป็นส่วนสำคัญ หลายๆครั้ง อุบัติเหตุเกิดขึ้นเพราะผู้ขับขี่ไม่อาจทราบว่า สภาพยางรถยนต์ในขณะที่ขับขี่อยู่นั้น มีความผิดปกติหรือไม่ เช่น แรงดันลมของยาง หรืออุณหภูมิผิดปกติ ซึ่งระบบตรวจวัดแรงดันลมยางอัตโนมัติ (Tire Pressure Monitoring System หรือ TPMS) ได้พัฒนาเพื่อที่จะทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจในการขับขี่ ทุกสภาพถนน

TPMS ย่อมาจาก Tire Pressure Monitor System คือ ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง ให้คุณสามารถตรวจสอบ แรงดันลมยาง อุณหภูมิยาง ของแต่ละล้อได้ หากระบบตรวจพบความผิดปกติ จะรายงาน ข้อมูล , สถานะความดันลมยางในขณะใช้งาน , ผ่านมาตรวัด และแสดงรูปสัญลักษณ์ หรือไฟเตือน โดยจะแสดงขึ้นมาที่หน้าจอ ให้ผู้ขับขี่รับทราบทันที

i-SMART สุดยอดระบบปฏิบัติการอัจฉริยะตัวจริง ของ MG EP

ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ให้คุณเชื่อมต่อ MG EP เพื่อเช็กสถานะระบบการทำงานของตัวรถ อาทิ ระดับแบตเตอรี่ ลมยาง ถุงลมนิรภัย และระบบความปลอดภัยต่างๆ ให้คุณมั่นใจในการทำงานของรถยนต์ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง สามารถใช้ได้ทั้งระบบ Android และ iOS

i-SMART ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะจาก MG ที่ให้คุณกับรถสื่อสารกันได้เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยีที่ยกระดับทุกการขับขี่ เปลี่ยนการตรวจเช็กรถให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น เปลี่ยนให้การสั่งการเป็นไปได้ดังใจ เปลี่ยนให้ทุกไลฟ์สไตล์เชื่อมต่อกันได้ พร้อมความสามารถในการอัพเกรดฟังก์ชัน และการเรียนรู้ ด้วยเทคโนโลยี AI ก็ช่วยให้ชีวิตวันนี้ง่ายขึ้นได้ทุกเรื่องพร้อมความสามารถพิเศษอื่นๆ เพื่อชีวิตสมาร์ทไม่รู้จบ ไม่ว่าจะสั่งงานด้วยเสียง สั่งงานผ่านจอทัชสกรีน หรือสั่งงานผ่านแอพพลิเคชัน

ตาราง ราคาผ่อนดาวน์ รถไฟฟ้า MG EP และ MG EP PLUS

ตารางแสดงการคำนวณยอดผ่อนเงินกู้รถไฟฟ้า EV แบบเงินต้นคงที่ (คิดดอกเบี้ยแบบ Flat Rate) โดยการคำนวณอัตราดอกเบี้ย จะคำนวณจากเกณฑ์มาตราฐานดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยทั่วไป ซึ่งราคาเงินผ่อนที่แสดงในตาราง สำหรับใช้ในการพิจารณาข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการซื้อขายได้ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่แต่ละบริษัทเป็นผู้กำหนด ผู้ซื้อสามารถสอบถามกับผู้ดูแลการขาย ณ ตอนซื้อขายนั้นๆ

เราใช้คุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซด์ที่ดีที่สุดให้คุณ Accept Read More

Privacy & Cookies Policy